ดิฉันมีความยินดีที่ได้กลับมาช่วยเหลือ EDF ในการให้โอกาสเด็กนักเรียนยากจนที่ยังขาดโอกาสในการศึกษาเหมือนที่ดิฉันเคยได้รับในอดีต เพราะ EDF ทำให้ดิฉันได้มีโอกาสเรียนหนังสือและรู้คุณค่าของการศึกษา ถ้าไม่ได้รับทุนการศึกษาในวันนั้น ดิฉันก็คงไม่มีโอกาสได้เรียนในระดับที่สูงขึ้น เพราะคงเรียนจบแค่ชั้นประถมศึกษาแล้วก็ดำเนินชีวิตไปตามอัตภาพ

คุณสุนาวรรณ บุญนาม อดีตนักเรียนทุน EDF ม.1-3 (พ.ศ.2533-2535) จังหวัดขอนแก่น
การศึกษา: ปริญญาโททางด้านบริหารการศึกษา
หน้าที่การงานในปัจจุบัน: หัวหน้าส่วนการศึกษา ศาสนาและวัฒนธรรม องค์การบริหารส่วนตำบล
ดิฉันชื่อ สุนาวรรณ บุญนาม เคยเป็นเด็กนักเรียนทุนของ EDF โดยได้รับทุนการศึกษาจากผู้บริจาคทุนท่านหนึ่ง ในสมัยที่ดิฉันกำลังจะเรียนจบชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 โรงเรียนบ้านคอนฉิม จังหวัดขอนแก่น ทุกวันนี้ ดิฉันยังจำชื่อท่านได้เป็นอย่างดี
ดิฉันได้รับทุนจาก EDF ตั้งแต่ชั้น ม.1 -ม.3 ระหว่างปี 2533-2535 จริงๆ แล้วดิฉันเป็นเด็กเรียนไม่เก่ง แต่พอขึ้นชั้น ป.4 ก็ค่อยๆ พัฒนาการเรียนดีขึ้นเรื่อยๆ ดิฉันกำพร้าพ่อ อีกทั้งในขณะนั้นแม่ต้องไปทำงานที่กรุงเทพฯ เลยต้องอาศัยอยู่กับยายจึงไม่มีแรงผลักดันให้ตัวเองในเรื่องการเรียน แต่โชคดีที่ได้คุณครูที่โรงเรียนที่เห็นว่าดิฉันมีความตั้งใจและขยัน จึงมอบโอกาสให้ได้รับคัดเลือกเป็นเด็กนักเรียนทุนของ EDF หลังจากดิฉันสามารถสอบเข้าชั้น ม.1 ของโรงเรียนแวงใหญ่วิทยาคมจังหวัดขอนแก่นแล้ว ในสมัยนั้นดิฉันยังจำว่าได้เงินมาโรงเรียนวันละ 5 บาท พร้อมห่อข้าว แบ่งใช้จ่ายออกเป็น ค่าเดินทาง 2 บาท ซื้อน้ำ 1 บาท และซื้อกับข้าว 2 บาท ส่วนทุนการศึกษาที่ได้นั้นดิฉันเอาไปใช้เป็นค่าอุปกรณ์การเรียน และชุดนักเรียนซึ่งมีอยู่ 2 ชุด ซึ่งดิฉันผลัดกันใส่และซักทุกวัน ในวันเสาร์อาทิตย์ดิฉันต้องช่วยงานบ้าน คือไปเลี้ยงวัวเลี้ยงควายให้ยาย พร้อมกับเอาหนังสือไปอ่านด้วย


วันหนึ่งอาจารย์ที่โรงเรียนแจ้งว่า คณะผู้บริจาคทุน EDF จะเดินทางมาเยี่ยมโรงเรียน ดิฉันตื่นเต้นมาก และหวังที่จะได้เจอผู้บริจาคทุนของตัวเอง ดิฉันได้ถูกคัดเลือกให้ฟ้อนรำต้อนรับคณะที่มาเยี่ยมด้วย แต่ผิดคาด ผู้บริจาคทุนของดิฉันไม่ได้มาด้วย มีเพื่อนๆ หลายคนที่ผู้บริจาคทุนของตัวเองมากับคณะที่มาในครั้งนี้ เพื่อนๆ มาเล่าให้ดิฉันฟังว่าได้คุยกับผู้บริจาคของพวกเขาด้วย ทำให้ดิฉันเองอยากจะเจอกับผู้บริจาคของตัวเองบ้าง
หลังจากนั้นคุณแม่ของดิฉันแต่งงานใหม่ ก็เลยย้ายบ้านมาอยู่ที่จังหวัดกาฬสินธุ์ พ่อเลี้ยงกับแม่ก็ทำนาส่งดิฉันเรียนจนจบชั้น ม.6 ในจังหวัดนี้ ชีวิตความเป็นอยู่ช่วงนี้ถือว่าลำบากมาก ดิฉันต้องรับจ้างปลูกมันสำปะหลังและต้นยูคาลิปตัสในวันหยุดเพื่อเป็นเงินค่าเทอม พอจบ ม.6 รัฐบาลไทยมีโครงการกองทุนกู้ยืมเพื่อการศึกษาขึ้นพอดี ดิฉันจึงได้กู้ยืมทุนนี้มาเรียนต่อที่สถาบันราชภัฏมหาสารคาม วิชาเอกการประถมศึกษา และสำเร็จการศึกษาระดับปริญญาตรีในปี 2542 โดยได้รับเกียรตินิยมอันดับ 2
หลังจากเรียนจบปริญญาตรี ดิฉันมุ่งหน้าเข้าสู่กรุงเทพฯ เพื่อหางานทำดิฉันทำงานมาหลายอย่าง ตั้งแต่สาวโรงงาน จนถึงครูอัตราจ้าง แต่เพราะความเป็นอยู่ในกรุงเทพฯ ยากลำบากมาก ดิฉันจึงตัดสินใจกลับบ้านที่อีสาน เพื่อทำนาหาเลี้ยงชีพพร้อมๆ กับตั้งใจอ่านหนังสือเพื่อสอบเป็นครูในจังหวัดกาฬสินธุ์ แต่ไปสอบแล้วก็ไม่เคยถูกเรียกสักที ดิฉันจึงไปสอบเป็นเจ้าหน้าที่องค์การบริหารส่วนตำบล (อบต.) แทน ดิฉันดีใจมากที่สอบได้และได้ทำงานในตำแหน่งเจ้าหน้าที่ธุรการ หลังจากนั้นได้มีการเปลี่ยนสาย
งานเป็นนักวิชาการการศึกษาไปทำงานอยู่ที่จังหวัดเชียงใหม่ เกือบปีและย้ายกลับบ้านมาอยู่ที่จังหวัดกาฬสินธุ์อีกครั้ง
ปัจจุบันดิฉันเป็นหัวหน้าส่วนการศึกษา ศาสนาและวัฒนธรรม โดยมีหน้าที่รับผิดชอบในด้านการศึกษาและกิจกรรมการศึกษาของท้องถิ่นเช่นการดูแลศูนย์เด็กเล็ก การประสานงานกับโรงเรียนเกี่ยวกับความช่วยเหลือของรัฐบาลในเรื่องของอาหารกลางวัน และนมโรงเรียนเป็นต้น รวมทั้งยังมีหน้าที่อื่นๆ เช่น การทำนุบำรุงศาสนาการส่งเสริมให้คนในชุมชนมีสำนึกอนุรักษ์วัฒนธรรมประเพณีของตัวเอง โดยเฉพาะประเพณีท้องถิ่นของภาคอีสาน รวมทั้งการจัดกิจกรรมส่งเสริมการกีฬา นันทนาการและการท่องเที่ยวภายในพื้นที่รับผิดชอบอีกด้วย
ดิฉันได้มีโอกาสศึกษาต่อในระดับปริญญาโททางด้านบริหารการศึกษา และสำเร็จการศึกษาเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ปัจจุบันดิฉันแต่งงานแล้ว และมีลูกที่น่ารัก 2 คนค่ะ
เหตุผลที่ดิฉันติดต่อกลับมาที่ EDF เพราะดิฉันรู้สึกสำนึกถึงคำว่า“ทุนการศึกษา” ที่ดิฉันเคยได้รับมาตลอดในช่วงชีวิตการเป็นนักเรียน นักศึกษาของดิฉัน โดยเฉพาะทุนจาก EDF ซึ่งเป็นทุนการศึกษาทุนแรกในชีวิตที่เป็นเหมือนแสงส่องทางให้ชีวิตการศึกษาของดิฉันสว่างไสวขึ้นมาได้


ดิฉันต้องขอบพระคุณ EDF และผู้บริจาคทุนทุกท่านเป็นอย่างสูง ที่ได้มอบโอกาสที่เป็น
"จุดเปลี่ยน" ในชีวิตของดิฉัน และเด็กไทยอีกหลายๆ คนให้เขาได้มีโอกาสทางการศึกษา
เท่าเทียมกับเด็กนักเรียนในเมืองหลวงหรือเมืองใหญ่ที่มีโอกาสมากกว่า ขอให้ผู้บริจาคทุกท่าน
จงมั่นใจว่าเงินทุกบาททุกสตางค์ที่ท่านได้บริจาคมานั้นไม่เสียเปล่า และส่งผลดี
ต่อชีวิตคนจริงๆ ดิฉันเชื่อว่าสร้างโบสถ์สร้างวิหารยังมีวันผุพัง แต่สร้างปัญญา
ให้กับมนุษย์มีแต่ความเจริญก้าวหน้าค่ะขอขอบคุณอีกครั้งหนึ่งนะคะ
